รู้ทัน "โรคมะเร็งตับ
และมะเร็งท่อน้ำดี"!!
มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี ภัยเงียบ
ที่ไม่แสดงอาการ
จนกว่าจะถึง.."ระยะรุนแรง"
ทางเลือกใหม่ลดความเสี่ยง
ดีกว่าการรักษามุ่งเป้า เคมีบำบัด การจี้ !!!
อาการของคนเริ่มเป็น "โรคมะเร็งตับ" ?
- ดีซ่าน (ตาและผิวเหลือง): เกิดจากตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทำให้ระดับบิลิรูบินในเลือดสูงขึ้น
- มีอาการปวดท้องรุนแรงและต่อเนื่อง
- มีอาการปวด อาจปวดร้าวไปด้านหลัง
- ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มมากขึ้น
- ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มมากขึ้น
- ปวดบริเวณท้องด้านขวาบน: อาจรู้สึกปวดหรือไม่สบายที่บริเวณตับ ซึ่งอยู่ใต้ซี่โครงด้านขวา
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ: น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง
- เบื่ออาหาร: อาการเบื่ออาหารหรือรู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติหลังจากกินอาหารเล็กน้อย
- เบื่ออาหาร ทานอาหารไม่อร่อย
- รู้สึกท้องบวมและรู้สึกแน่น
- อ่อนเพลีย: รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีแรงตลอดเวลา
- รู้สึกเหนื่อย และยากที่จะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้
- ร่างกายทรุดโทรมอย่างรุนแรง
- คลื่นไส้และอาเจียน: อาจรู้สึกไม่สบายท้องหรือมีอาการอาเจียน
- ปัสสาวะสีเข้ม: สีของปัสสาวะอาจเข้มกว่าปกติ เนื่องจากการทำงานของตับที่ผิดปกติ
- คันผิวหนัง: เป็นอาการที่พบในผู้ป่วยที่มีปัญหาตับ เพราะสารพิษสะสมในร่างกาย
อาการของคนเริ่มเป็น "โรคมะเร็งท่อน้ำดี" ?
- ดีซ่าน (ตาและผิวเหลือง): เป็นอาการหลักที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากการอุดตันของท่อน้ำดี ทำให้เกิดการสะสมของบิลิรูบิน
- อาการคัน: เกิดจากการสะสมของบิลิรูบินในเลือด ทำให้ผิวหนังคันมาก
- ปัสสาวะสีเข้ม: ปัสสาวะอาจมีสีเข้มขึ้น เนื่องจากบิลิรูบินถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ
- อุจจาระสีซีด: การอุดตันของท่อน้ำดีอาจทำให้อุจจาระมีสีซีดหรือเหมือนดินเหนียว
- ปวดท้องด้านขวาบน: อาจมีอาการปวดบริเวณท้องด้านขวาใต้ซี่โครง
- น้ำหนักลดและเบื่ออาหาร: มักมีอาการน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุและเบื่ออาหาร
- ท้องอืด: อาจมีอาการท้องอืดหรือท้องบวมเนื่องจากการสะสมของของเหลวในช่องท้อง
- ไข้: ในบางกรณีอาจมีไข้จากการติดเชื้อในท่อน้ำดีที่อุดตัน
หากไม่รีบรักษา ความทรมานเหล่านี้...จะเกิดขึ้นกับคุณ
- น้ำหนักลดอย่างมาก และลดต่อเนื่องหลาย 10 KG
- ท้องอืดบวม แน่น เคลื่อนไหวยาก
- ปวดร้าว ทรมานร่างกาย
- สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง จนไม่อยากพบใคร
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เคลื่อนไหวได้ยาก
- สภาพจิตใจย่ำแย่
- ร่างกายไม่ตอบรับกับการรักษา ไม่ตอบรับกับยา
- มีผลข้างเคียงหลังจากรับคีโม และการฉายแสง
- ร่างกายอ่อนแอมาก ไม่สามารถรับคีโมได้
- ร่างกายแพ้ คีโม หนักมาก
- เม็ดเลือดขาวตก จนไม่สามารถรับคีโมได้
- เป็นมะเร็งตับ ท่อน้ำดี มาแล้ว แต่กลับมาเป็นซ้ำอีก
- นอนติดเตียง ทานยาเยอะจน ตับ ไต เสื่อม
- กำลังหาแพทย์ทางเลือกเพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าตัด
- เสียเงินไปจำนวนมากแต่ก็ไม่ดีขึ้น
- กลัวการคีโม ฉายแสงแต่สุดท้าย ไม่รอด
- ถึงหายแต่ก็กลายเป็นอัมพาตหรือไม่กลับมาเป็นปกติแล้ว
- ต้องเป็นภาระของครอบครัวหรือคนที่เรารัก
- ร่างกายไม่พร้อมรับการผ่าตัด
- แพ้คีโม อ่อนเพลีย ผมร่วง อาเจียน
- เสี่ยงต่อการผ่าตัด เพราะอายุเยอะ
- มะเร็งลุกลามไปอวัยวะอื่นๆ
- เปลี่ยนยาพุ่งเป้า ยาเคมีหลายตัว ก็ไม่หาย
- รักษาแบบประคองอาการ รอเวลา !
สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV)
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (HCV)
- การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่อง
- โรคตับแข็ง (Cirrhosis)สามารถกลายเป็นตับอักเสบและเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับได้
- ภาวะไขมันเกาะตับ (NAFLD) สามารถกลายเป็นตับอักเสบและเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับได้
- การทานยาหรือสารเคมีบางชนิดสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ
- สมุนไพรบางชนิด เช่น สเตอรอยด์หรืออะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารเคมีที่พบในอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อรา สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ
- ยาบางตัว เช่น สเตอรอยด์หรืออะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารเคมีที่พบในอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อรา สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ
- ภาวะทางพันธุกรรม:** โรคทางพันธุกรรมบางอย่างเช่น เฮโมโครมาโตซิส (Hemochromatosis) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายเก็บเหล็กจำนวนมากเกินไปในตับ
- การกินอาหารปิ้งย่าง รมควันต่างๆ เป็นประจำซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี
- โรควิลสัน (Wilson's disease) ที่เกิดจากการสะสมของทองแดงในร่างกายสามารถทำให้เกิดมะเร็งตับได้
- ปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การสูบบุหรี่
- ปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น ภาวะโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และเบาหวานชนิดที่ 2 อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี
- ปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง และเบาหวานชนิดที่ 2 อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี
- ปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี
- ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งท่อน้ำดี การติดเชื่อพยาธิใบไม้ในตับ
- การรับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบๆ เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดี
- การได้รับสารก่อมะเร็งในโตรซามีน จากอาหารหมักดอง ปิ้ง ย่าง หรือเนื้อสัตว์แปรรูป
- มีประวัติจากคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี
คลิกปุ่มด้านล่าง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี
เซซามิน จะเข้าไปปิดกั้น
การสร้างเส้นเลือดใหม่ ที่จะไปหล่อเลี้ยง เซลล์มะเร็ง
ทำให้เซลมะเร็ง ฝ่อ และ ตายในที่สุด
ทางเลือกใหม่
ของการรักษามะเร็ง
ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง...ไม่ให้ลุกลาม
เป็นการรักษามะเร็ง...ที่ปลอดภัย
ด้วยสารเซซามินเข้มข้น 20 เท่า
- ไม่ต้องเสี่ยงกับการรับสารเคมีในการรักษา
- ยับยั้ง ป้องกัน รักษามะเร็งได้
- หยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
- ป้องกันการกลับมาเกิดซ้ำ ในระยะยาว
- ทานควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ได้
- มีงานวิจัยจากคณะแพทย์ มช รองรับ
- ออร์แกนนิค ไม่มีสารพิษ ปลอดภัย 100%
- ใช้แล้วเห็นผล พึงพอใจ ไม่เป็นภาระครอบครัวใช้แล้วเห็นผล พึงพอใจ ไม่เป็นภาระครอบครัว
- พิสูจน์แล้วจากผู้ป่วยมะเร็งใช้แล้วเห็นผล
คลิกปุ่มด้านล่าง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี
สารสกัดเซซามิน ที่ได้จากงาดำ (ไม่ใช่น้ำมันงา)
ยับยั้ง ป้องกัน รักษามะเร็ง
ผลงานนักวิจัยไทย
คณะแพททยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานวิจัยพบสารออกฤทธิ์เป็นยา
นำมาเป็นอาหารเสริม
ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ชื่อ สารเซซามิน (Sesamin)
เป็นสารสกัดบริสุทธิ์
ที่สกัดได้จากงาดำ
รักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ทุกระยะ
ซึ่งหลักการทำงานของเซซามิน คือ
เซซามินจะไปปิดกั้น
การสร้างเส้นเลือดใหม่
ที่จะไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง
ทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อและตายไปในที่สุด
เซซามิน สูตรเข้มข้น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เซซามิน(sesamin)
จากศูนย์วิจัยชีวโมเลกุลมาตรฐานสากล มีความปลอดภัย
ด้วยวัตถุดิบจากแหล่งออร์แกนิก..และเข้มข้นด้วยสารเซซามินบริสุทธิ์ถึง 20 เท่า
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีความแตกต่าง ชัดเจน
เป็นผลิตภัณฑ์งานวิจัยที่ดีที่สุด
และเป็นผลิตภัณฑ์ “ตัวจริง” และกลายเป็น “ผู้นำ” ในตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพ
สารสกัดเซซามิน (sesamin) จากงาดำในปัจจุบันนี้
สารสกัดเซซามินจัดอยู่ในกลุ่มของ “โภชนบำบัด หรือ Nutraceuticals“
ซึ่งหมายถึงสารอาหารที่ออกฤทธิ์เป็นยาได้
นั่นหมายความว่า การทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเซซามินก็เหมือนกับการทานอาหาร จึงมั่นใจได้ในเรื่องของความปลอดภัย
สารสกัดงาดำบริสุทธิ์ เป็นสารอาหาร ไม่ใช่สมุนไพร ผู้ป่วยสามารถทานเสริมเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย
“เซซามิน (SESAMIN)” รักษาการเสื่อมเรื้อรังของเซลล์ รวมถึง “รักษามะเร็ง” ทุกชนิด ทุกระยะ
สามารถทานควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยังช่วยให้การรักษาได้ผลดีเร็วขึ้น การฟื้นตัวเร็วขึ้น เซลล์มะเร็งตายเร็วขึ้น และยังเพิ่มกำลัง ฟื้นฟูร่างกาย และเพิ่มภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยได้ดี ลดผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นคีโม ฉายแสงหรือผ่าตัด
คลิกปุ่มด้านล่าง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี
ผลลัพธ์จากผู้ป่วยมะเร็งตับและมะเร็งชนิดอื่น ทานอาหารเสริมเซซามิน เห็นผลจริง
มะเร็งตับ
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล**
มะเร็งเม็ดเลือด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งต่อมลูกหมาก
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล**
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ + ไต
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล**
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล**
มะเร็งสมองต่อมน้ำเหลือง
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล**
มะเร็งปอด
มะเร็งตับ หนึ่งในโรคมะเร็งที่พบบ่อยเกิดจากอะไร
มะเร็งตับ เป็นอีกหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบบ่อย โดยพบเป็นอันดับ 1 ในเพศชายที่ป่วยเป็นมะเร็ง และพบเป็นอันดับ 4 ของทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง มะเร็งตับเป็นโรคร้ายที่ทำให้เสียชีวิตได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีการรักษาหลายวิธี ที่สำคัญคือการเฝ้าระวังการเกิดโรคอย่างสม่ำเสมอ ด้วยวิธีตรวจสุขภาพและอื่น ๆ หากรู้ตัวว่าตนเองอยู่ในความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับ
สัญญาณเตือน กลุ่มเสี่ยงมะเร็งตับ
- ผู้ที่ดื่มสุรามาก ๆ
- ผู้ใช้ยาบางชนิด ที่เสี่ยงต่อโรคตับ
- ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี
- ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง
- ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง
- ผู้ที่มีภาวะไขมันเกาะตับ
ชนิดของมะเร็งตับ
1.มะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ เกิดจากเนื้อเยื่อของตับโดยตรง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ มะเร็งเซลล์เนื้อเยื่อตับ
2.มะเร็งตับชนิดทุติยภูมิ เกิดจากการแพร่กระจายมาจากโรคมะเร็งชนิดอื่น เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งท่อน้ำดีของเนื้อตับ
มะเร็งท่อน้ำดีของเนื้อตับ
สาเหตุที่พบเจอได้บ่อย เกิดการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ – ซึ่งเป็นพยาธิที่มีการปนเปื้อนอยู่ในอาหารประเภท ของหมักดอง ปลาร้า ปลาดิบ เนื้อดิบ อาหารสุกๆ ดิบๆ โดยพยาธิที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารจะอาศัยและชอนไชไปตามท่อน้ำดีที่อยู่ในเนื้อตับ เนื่องจากในท่อน้ำดีจะมีสารอาหารซึ่งเป็นที่ต้องการของพยาธิใบไม้ บางครั้งพบว่าพยาธิใบไม้มักจะไปอุดตันในท่อน้ำดี ก่อให้เกิดอาการตัวเหลืองหรือตาเหลือง
การได้รับสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษที่พบได้ในอาหารจำพวก ปลาร้า ปลาส้ม หรือแหนม เป็นต้น หรืออาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น ไส้กรอก, กุนเชียง, เนื้อเค็ม และปลาเค็ม เป็นต้น และอาหารรมควัน เช่น ไส้กรอกรมควัน ปลารมควัน
จากสาเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น สาเหตุอันดับต้นๆ ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งตับในประเทศไทย คือ “การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี” ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากติดต่อจากแม่มาสู่ลูก แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ คือ “การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
มะเร็งตับจากการดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์จัดจะนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และโรคมะเร็งตับตามมา แต่กรณีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีจะไม่นำไปสู่ภาวะตับแข็ง แต่จะนำไปสู่มะเร็งตับได้เลย ดังนั้นจึงการตรวจคัดกรองมะเร็งตับจึงเป็นเรื่องสำคัญ
- อาการและอาการแสดง
- ระยะแรก - ไม่แสดงอาการใด ๆ
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง
- จุกเสียดท้อง ท้องอืด
- อาการปวดชายโครงด้านขวา
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ท้องโตขึ้น มีน้ำในช่องท้อง
- ขาบวม มีน้ำในเยื่อหุ้มปอด
- อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ
การรักษามะเร็งตับ และ มะเร็งท่อน้ำดี
ทั้งสองชนิดสามารถตรวจวินิจฉัยได้โดยการใช้เทคโนโลยีเช่น อัลตราซาวนด์ (Ultrasound), CT scan หรือ MRI และการตรวจชิ้นเนื้อ การรักษามักขึ้นอยู่กับระยะของโรคและรวมถึงการผ่าตัด การฉายรังสี การให้เคมีบำบัด หรือการใช้ targeted therapy (การรักษาแบบมุ่งเป้า)
การรักษามะเร็งตับด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดรักษามะเร็งตับเป็นหนึ่งในวิธีหลักในการรักษา โดยจะใช้ในกรณีที่มะเร็งยังไม่ลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายและตับยังทำงานได้ดี การผ่าตัดรักษามะเร็งตับมีสองประเภทหลัก คือ การตัดบางส่วนของตับ (liver resection) และการปลูกถ่ายตับ (liver transplantation) ซึ่งมีรายละเอียดและผลข้างเคียงดังนี้
1. การตัดบางส่วนของตับ (Liver Resection)
การผ่าตัดตัดบางส่วนของตับเป็นการนำส่วนที่เป็นมะเร็งออก ซึ่งอาจเป็นเพียงก้อนเนื้อมะเร็งเล็ก ๆ หรือเป็นส่วนใหญ่ของตับก็ได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของก้อนมะเร็ง
- ขั้นตอนการผ่าตัด
- 1.ศัลยแพทย์จะทำการประเมินขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็งด้วยการตรวจภาพถ่ายรังสี เช่น CT หรือ MRI
- 2.การตัดส่วนที่ติดเชื้อมะเร็งออกพร้อมกับเนื้อเยื่อตับบางส่วนรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่ากำจัดเซลล์มะเร็งออกไปได้มากที่สุด
- 3.การผ่าตัดอาจทำผ่านการผ่าตัดแบบเปิด หรือการผ่าตัดผ่านกล้อง (minimally invasive surgery) ในบางกรณี
- ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด
- 1.ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด: เช่น เลือดออก การติดเชื้อ และการสะสมของน้ำในช่องท้อง
- 2.การสูญเสียเนื้อตับ: หากตับส่วนที่เหลือทำงานไม่เพียงพอ อาจเกิดภาวะตับล้มเหลวได้
- 3.การเกิดภาวะท้องบวม (ascites): เนื่องจากการสะสมของน้ำในช่องท้อง
- 4.อ่อนเพลียและปวด: อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนกว่าจะฟื้นตัวเต็มที่
2. การปลูกถ่ายตับ (Liver Transplantation)
การปลูกถ่ายตับเป็นทางเลือกในการรักษาในกรณีที่มะเร็งเกิดขึ้นหลายจุดในตับ หรือในกรณีที่ตับถูกทำลายไปมากจนไม่สามารถทำงานได้หลังการผ่าตัด ตับของผู้ป่วยจะถูกแทนที่ด้วยตับที่ได้จากผู้บริจา
- ขั้นตอนการปลูกถ่ายตับ
- 1.ผู้ป่วยต้องได้รับการคัดเลือกตามเกณฑ์เฉพาะ เช่น ตำแหน่ง ขนาดของมะเร็ง และสุขภาพโดยรวม
- 2.เมื่อมีผู้บริจาคตับที่เหมาะสม ศัลยแพทย์จะนำตับของผู้ป่วยออกและแทนที่ด้วยตับใหม่
- ผลข้างเคียงจากการปลูกถ่ายตับ
- 1.ปฏิกิริยาต่อตับใหม่: ร่างกายอาจมองว่าตับใหม่เป็นสิ่งแปลกปลอมและพยายามปฏิเสธ ทำให้ต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
- 2.ภาวะแทรกซ้อนจากยากดภูมิคุ้มกัน: เช่น การติดเชื้อเนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผลข้างเคียงที่เกิดจากยา เช่น โรคไต หรือโรคหัวใจ
- 3.การติดเชื้อ: ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง เนื่องจากการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- 4.ความล้มเหลวของตับที่ปลูกถ่าย: ในบางกรณีตับใหม่อาจไม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลข้างเคียงทั่วไปจากการผ่าตัดตับ
- การฟื้นตัวช้า: ร่างกายต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
- อาการปวด: โดยเฉพาะบริเวณที่ทำการผ่าตัด
- ภาวะเลือดออกหรือการติดเชื้อ: ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยหลังจากการผ่าตัดใหญ่
การรักษามะเร็งตับด้วยการฉายแสง
การฉายแสง (Radiation therapy) เป็นวิธีการรักษามะเร็งตับที่ใช้พลังงานจากรังสีในการทำลายเซลล์มะเร็งหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไป การฉายแสงไม่ใช่วิธีหลักในการรักษามะเร็งตับเนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่ไวต่อรังสี แต่สามารถใช้ได้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดหรือปลูกถ่ายตับได้ หรือใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น ๆ
ประเภทของการฉายแสงที่ใช้รักษามะเร็งตับ
1.การฉายแสงภายนอก (External Beam Radiation Therapy – EBRT): เป็นการส่งรังสีจากภายนอกร่างกายเข้าสู่บริเวณที่เป็นมะเร็งในตับ ซึ่งการฉายแสงจะถูกวางแผนและกำหนดให้ส่งไปยังตำแหน่งที่เป็นเป้าหมายเฉพาะ เพื่อให้รังสีโดนเนื้อมะเร็งให้มากที่สุดและลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่อปกติ
Stereotactic Body Radiation Therapy (SBRT): เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้รังสีปริมาณสูงในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ส่งตรงไปยังเนื้อมะเร็งอย่างแม่นยำ วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กและไม่ลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
2.การฉายแสงภายใน (Selective Internal Radiation Therapy – SIRT หรือ Radioembolization): เป็นการฉายแสงโดยใช้สารกัมมันตรังสีที่ถูกฉีดเข้าสู่หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงตับ สารกัมมันตรังสีจะเข้าไปสะสมอยู่ในก้อนมะเร็งและปล่อยรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีมะเร็งแพร่กระจายไปยังหลายส่วนของตับ
ผลข้างเคียงของการฉายแสงรักษามะเร็งตับ
1.ผลข้างเคียงระยะสั้น
- ความเหนื่อยล้า (Fatigue): เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากการฉายแสงในแต่ละครั้ง
- คลื่นไส้และอาเจียน: เกิดจากการที่รังสีอาจทำให้เนื้อเยื่อรอบๆ ตับระคายเคือง
- ผิวหนังที่ถูกฉายแสงระคายเคือง: เช่น ผิวหนังแดง บวม หรือแห้ง แตกเป็นสะเก็ดบริเวณที่รับการฉายแสง
2.ผลข้างเคียงระยะยาว
- การทำงานของตับลดลง: รังสีสามารถทำลายเซลล์ปกติของตับ ทำให้ตับทำงานลดลงในระยะยาว และอาจนำไปสู่ภาวะตับวาย
- การเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้: หากรังสีไปกระทบกับอวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะอาหารหรือลำไส้ อาจทำให้เกิดแผลหรือภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
- ภาวะน้ำในช่องท้อง (Ascites): การฉายแสงอาจทำให้ระบบน้ำเหลืองหรือหลอดเลือดในตับได้รับผลกระทบ ทำให้มีการสะสมของน้ำในช่องท้อง
การรักษามะเร็งตับด้วยการทำคีโม
การทำเคมีบำบัด (คีโม) เป็นการใช้ยาในการทำลายเซลล์มะเร็งหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไป การทำคีโมสำหรับมะเร็งตับไม่ใช่วิธีที่ใช้กันบ่อย เนื่องจากมะเร็งตับมักไม่ตอบสนองต่อยาคีโมแบบทั่วไปเท่ากับมะเร็งชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อมะเร็งตับแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย หรือไม่สามารถผ่าตัดหรือใช้วิธีอื่นได้ คีโมยังคงเป็นทางเลือกในการรักษา
วิธีการทำคีโมสำหรับมะเร็งตับ
- 1.การให้คีโมแบบทั่วร่างกาย
- ยาคีโมจะถูกให้ผ่านทางหลอดเลือดดำ (IV) หรือในรูปแบบยารับประทาน เพื่อให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดและกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงตับ
- อย่างไรก็ตาม คีโมแบบนี้มักไม่ค่อยได้ผลดีนักในการรักษามะเร็งตับเมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น
- 2.การให้คีโมผ่านหลอดเลือดแดงที่ไปยังตับ
- เป็นวิธีที่เน้นการส่งยาเคมีบำบัดตรงไปยังตับผ่านหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงตับ ซึ่งสามารถทำให้ยาเข้าถึงก้อนมะเร็งโดยตรงและลดผลข้างเคียงที่เกิดกับเนื้อเยื่ออื่น
- วิธีนี้จะทำโดยใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงผ่านทางขาหนีบ จากนั้นส่งยาคีโมเข้าไปยังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงตับ
- 3.การคีโมบำบัดร่วมกับการให้ยาที่มุ่งเป้า
- การรักษาด้วยยามุ่งเป้า อาจถูกใช้ร่วมกับคีโม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งตับ โดยยามุ่งเป้าจะทำงานโดยการยับยั้งสัญญาณที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ผลข้างเคียงของการทำคีโมรักษามะเร็งตับ
- 1.ผลข้างเคียงทั่วไป
- อ่อนเพลีย : ผู้ป่วยมักรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียหลังการทำคีโม
- คลื่นไส้และอาเจียน: ยาคีโมบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียน แต่ยาต้านอาเจียนสามารถช่วยบรรเทาอาการนี้ได้
- ผมร่วง: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยเมื่อทำคีโม โดยผมจะร่วงในช่วงที่ทำการรักษา แต่จะงอกขึ้นใหม่เมื่อสิ้นสุดการรักษา
- เบื่ออาหารและน้ำหนักลด: ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกไม่อยากอาหาร หรือมีการเปลี่ยนแปลงของรสชาติอาหาร ทำให้น้ำหนักลดลง
- ท้องเสียหรือท้องผูก: เป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้
- ภูมิคุ้มกันลดลง : คีโมสามารถทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- 2.ผลข้างเคียงที่เกี่ยวกับตับ
- การทำงานของตับเสื่อมลง: การใช้คีโมอาจทำให้ตับทำงานลดลง เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษและยาออกจากร่างกาย การใช้คีโมจึงอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบหรือตับวาย
- ตับอักเสบ : ในบางกรณี ยาคีโมสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับได้ ซึ่งอาจทำให้การทำงานของตับลดลงหรือตับวายได้
วิธีการรักษามะเร็งท่อน้ำดี มีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะของโรคมะเร็งท่อน้ำดี สุขภาพของผู้ป่วย และตำแหน่งที่มะเร็งท่อน้ำดีเกิดขึ้นภายในท่อน้ำดี การรักษาที่ใช้บ่อยมีดังนี้:
1. การผ่าตัด (Surgery)
วิธีการ: การผ่าตัดเป็นวิธีหลักสำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบมะเร็งท่อน้ำดีในระยะเริ่มต้น โดยการผ่าตัดจะมุ่งเน้นการตัดเอาก้อนมะเร็งท่อน้ำดีออกจากท่อน้ำดีและอาจรวมถึงส่วนของตับหรืออวัยวะใกล้เคียงที่ถูกมะเร็งลุกลามไป
ผลข้างเคียง: การผ่าตัดอาจมีผลข้างเคียงเช่น เลือดออก, การติดเชื้อ, และการทำงานของตับลดลง นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดใหญ่
2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)
วิธีการ: ใช้ยาเคมีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งในท่อน้ำดี โดยมักจะใช้ในกรณีที่มะเร็งท่อน้ำดีแพร่กระจายมากเกินกว่าจะผ่าตัดได้ หรือใช้หลังการผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่ท่อน้ำดียังหลงเหลืออยู่
ผลข้างเคียง: เคมีบำบัดมักทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, ผมร่วง, อ่อนเพลีย, และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อง่ายขึ้น
3. การฉายแสง (Radiation Therapy)
วิธีการ: ใช้รังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี มักใช้ควบคู่กับการผ่าตัดหรือเคมีบำบัด หรือในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
ผลข้างเคียง: การฉายแสงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การอักเสบของผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี, อาการอ่อนเพลีย, และปัญหาทางระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องเสีย
4. การรักษาแบบ Targeted Therapy
วิธีการ: เป็นการรักษาที่มุ่งเน้นไปที่โปรตีนหรือยีนที่ผิดปกติในเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี ทำให้เซลล์มะเร็งที่ท่อน้ำดีถูกโจมตีเฉพาะจุด และลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติ
ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงน้อยกว่าเคมีบำบัด แต่ยังอาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง, ท้องเสีย, หรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับ
5. การรักษาแบบ Immunotherapy (ภูมิคุ้มกันบำบัด)
วิธีการ: ใช้ยาเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี โดยมักใช้ในกรณีที่มะเร็งท่อน้ำดีไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาอื่นๆ
ผลข้างเคียง: อาจเกิดอาการทางภูมิคุ้มกัน เช่น อักเสบในอวัยวะต่างๆ รวมถึงผิวหนัง, ตับ, และลำไส้
การรักษาเหล่านี้อาจใช้ร่วมกันเพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็งที่ท่อน้ำดีหรือควบคุมการแพร่กระจาย ทั้งนี้ ผลข้างเคียงจะขึ้นอยู่กับการรักษาและสุขภาพของผู้ป่วยในแต่ละราย
ส่วนผสมใน 1 แคปซูล
อาหารเสริมสูตรเซซามินเข้มข้น 20 เท่า สำหรับการดูแลสุขภาพ
ระดับพรีเมี่ยมด้วยสารเซซามิน Sesamin สารสกัดงาดำ รำข้าวสีนิล
และแป้งข้าวหอมมะลิ โดดเด่นด้วยเซซามินเข้มข้นเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ
“ฟื้นฟูสุขภาพเร่งด่วน”
ดูแลและให้คำปรึกษาตลอดการทาน เป็นที่ปรึกษาทางสุขภาพและการดูแลผู้ป่วย พร้อมเป็นเพื่อนคุณจากประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยที่ รักษามะเร็ง โดยตรงจุดมากกว่า 10 ปี เข้าใจปัญหาของผู้ป่วย มะเร็ง พร้อมแนะนำวิธีการ รักษามะเร็ง หรือ แก้มะเร็ง ได้ตรงประเด็น เข้าใจหลักการดูแลสารอาหารให้ผู้ป่วย จนหายดี
เชื่อเถอะว่า วันนี้คุณเจอเรา ความเจ็บปวดของคุณและครอบครัว จะค่อยๆดีขึ้น เรามั่นใจ
***โปรโมชั่นพิเศษเฉพาะคุณเท่านั้น***
เซซามินสูตรเข้มข้น 20 เท่า
1 ขวด 60 แคปซูลทานได้ 15 วัน
จากราคา 3,000 บาท
ลดเหลือ 2,600 บาท
Promotion 3 Free 1
(ชุดสุดคุ้มดูแลผู้ป่วยมะเร็งตับและท่อน้ำดี)
จากราคา 12,000 บาท
ลดเหลือ 7,800 บาท
(โปรโมชั่นมีจำนวนจำกัด)
- ท้าพิสูจน์เห็นผลชัดเจน
- การันตีสินค้าของแท้ 100% ไม่แท้คืนเงิน
- มีอาการแพ้ ไม่พึงพอใจยินดีคืนเงิน
มั่นใจได้ เบิกตรงจากบริษัท !!
ส่งถึงมือลูกค้าภายใน 1-2 วัน เท่านั้น
จัดส่งไวภายใน 2 วัน
รับประกันของแท้ 100 %
กรุงเทพ , ปริมณฑล จัดส่งด่วนภายใน 3 ชม.
💯 ท้าพิสูจน์เห็นผลจริง
💯 การันตีของแท้ 100% ไม่แท้คืนเงิน
💯 มีอาการแพ้ไม่พึงพอใจยินดีคืนเงิน
สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้ จัดส่งภายใน2วัน รับประกันสินค้า ของแท้
กรุงเทพปริมณฑลจัดส่งด่วนภายใน 3-5 ชั่วโมง
ไม่ป่วย สามารถทานเพื่อการป้องกันได้
เพราะ การดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด คือ
ดูแลสุขภาพก่อนมีปัญหาสุขภาพ
เลือกทางเซซามินยี่ห้อที่มีเอกสารงานวิจัยรองรับ และสามารถอธิบายการทำงานของสารเซซามินกับร่างกายได้ ของอาจารย์ปรัชญา
สารสกัดเซซามิน ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง IL2
(สารตัวนี้เป็นตัวฆ่า เซลล์มะเร็งได้โดยทั่วโลกยอมรับ)
เซซามินจะไปกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือระบบภูมิคุ้มกันของเรา ให้ทำงานได้ดีขึ้นและไปจัดการเซลล์มะเร็ง
โดยปกติแล้วเห็นผลช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านสุขภาพของแต่ละบุคคล
1. อายุผู้ป่วย
2. ชนิดของอาการป่วย
3. โรคแทรกซ้อนอื่นๆ
4. ระยะเวลาที่เป็นโรคต่างๆ
5. การดูแลสุขภาพควบคู่การรักษา
โดยปกติแล้วทาน 1-2 เดือนจะเห็นผลชัดเจน
สารสกัดเซามินจัดอยู่ในกลุ่มสารอาหาร (Nutraceuticals) จึงไม่มีผลตกค้างในร่างกาย และสามารถทานได้ต่อเนื่องควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ได้